โรคซิฟิลิส ไม่ใช่โรคใหม่แต่เป็นโรคที่หลายคนคุ้นเคยชื่อเป็นอย่างดี และส่วนใหญ่ทราบถึงสาเหตุว่ามาจากการมีเพศสัมพันธ์เท่านั้น ซึ่งหากศึกษาสาเหตุของโรคซิฟิลิสโดยละเอียด จะตระหนักได้ว่าเป็นโรคที่มีสาเหตุการติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์ และยังสามารถติดเชื้อจากมารดาสู่ทารกในครรภ์ได้เช่นกัน ในบทความนี้จึงได้รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ ซิฟิลิส ให้ได้ทำความเข้าใจมากยิ่งขึ้น และสามารถป้องกันตนเองให้ห่างไกลจากโรคนี้ได้อย่างเหมาะสม
ซิฟิลิส ระบาดครั้งใหญ่เมื่อปี พ.ศ.2038 ในประเทศอิตาลี ในหมู่ทหารฝรั่งเศสหลังจากยกทัพตีเมืองอิตาลี หลังจากนั้นเกิดการแพร่กระจายของโรคไปทั่วทั้งทวีป โดยมีความรุนแรงกว่าโรคเรื้อนในยุคนั้นหลายเท่า ผู้ติดเชื้อมีอาการที่เห็นได้ชัด คือ มีผื่นแผลเป็นหนองทั่วทั้งตัว และจากนั้นไม่นานในปี พ.ศ.2486 ได้มีการค้นพบเพนิซิลลิน (Penicillin) เพื่อใช้ในการรักษาผู้ติดเชื้อซิฟิลิส อย่างต่อเนื่องเรื่อยมา กระทั่งในปี พ.ศ.2543 โรคซิฟิลิสได้กลับมาระบาดอีกครั้งแต่ไม่ทวีความรุนแรงเมื่อเทียบกับครั้งแรก โดยมีการระบาดเป็นครั้งคราวในกลุ่มวัยรุ่น และกลุ่มชายรักชาย เป็นต้น
สถานการณ์โรคซิฟิลิสในประเทศไทย
ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 1-13 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา พบผู้ป่วยโรคซิฟิลิสทั้งหมด 5,057 ราย โดยไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อ จากข้อมูลพบว่ากลุ่มวัยรุ่นอายุ 15-24 ปี มีผู้ติดเชื้อซิฟิลิสมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 38.46 รองลงมาคือกกลุ่มวัยกลางคนที่มีอายุระหว่าง 25-34 ปี คิดเป็นร้อยละ 26.74 และกลุ่มอายุ 35-44 ปี คิดเป็นร้อยละ 12.70 ตามลำดับ
อย่างไรก็ตามกระทรวงสาธารณสุขของประเทศไทย ยังคงให้ความสำคัญกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องเรื่อยมา ด้วยแนวโน้มการเกิดโรคซิฟิลิสและโรคที่เกี่ยวข้องกับเพศสัมพันธ์อื่นๆ ได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจนโดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น จึงมีการเฝ้าระวังพฤติกรรมที่ส่งผลต่อความเสี่ยงในการติดเชื้อซิฟิลิส และโรคอื่นๆ ด้วยการให้ความรู้เรื่องการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย รวมไปถึงสร้างแนวคิดใหม่ให้ตระหนักถึงประโยชน์ของการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างเหมาะสม
โรคซิฟิลิสคืออะไร?
โรคซิฟิลิส (Syphilis) คือ หนึ่งในโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่มีสาเหตุจากการติดเชื้อ Treponema pallidum โดยเชื้อจะใช้เวลาในการฟักตัวประมาณ 2-4 สัปดาห์ หรือ ผู้ป่วยบางรายอาจใช้ระยะในการฟักตัวนานถึง 3 เดือน ซึ่งซิฟิลิสสามารถรักษาให้หายได้ ทั้งนี้ในกรณีที่ไม่เข้ารับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ อาจส่งผลให้มีอาการลุกลามไปสู่ระบบอื่นๆ ภายในร่างกายได้ เช่น ระบบประสาท ระบบหัวใจ ระบบหลอดเลือด เป็นต้น นอกจากนี้ซิฟิลิสยังสามารถถ่ายทอดจากมารดาสู่ทารกในครรภ์ได้ ทำให้ทารกมีโรคซิฟิลิสตั้งแต่กำเนิดและส่งผลต่อการเจริญเติบโตของทารกที่ผิดปกติ
สาเหตุของการเกิดโรคซิฟิลิสคืออะไร?
สาเหตุของโรคซิฟิลิสเกิดจากเชื้อแบตทีเรีย ทริปโปนีมาพัลลิดุม ซึ่งอาศัยอยู่บริเวณที่มีความชื้น โดยผู้ที่ติดเชื้อจะพบเชื้อได้บริเวณเยื่อเมือกหรือบริเวณที่มีบาดแผลตามร่างกาย เช่น เยื่อบุตา ช่องปาก ช่องคลอด ท่อปัสสาวะ ทวารหนัก เป็นต้น ผู้ป่วยที่ติดเชื้อซิฟิลิสส่วนใหญ่มักจะเกิดจากการสัมผัสเชื้อโดยตรงจากผู้ที่มีเชื้ออยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีเพศสัมพันธ์ถือเป็นหนึ่งสาเหตุหลักของการแพร่เชื้อไปสู่อีกบุคคลได้
อาการของโรคซิฟิลิสเป็นอย่างไร?
โรคซิฟิลิสสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ระยะ ดังต่อไปนี้
ซิฟิลิสระยะที่ 1 :
เป็นระยะอาการหลังจากได้รับเชื้อเข้าสู่ร่างกาย บริเวณที่สัมผัสเชื้อจะเริ่มมีเม็ดตุ่มเล็กๆ ขนาดประมาณ 2-4 มิลลิเมตร หลังจากนั้นตุ่มจะเริ่มขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนแตกออกในที่สุด เกิดเป็นแผลกว้างรูปวงรีหรือรูปไข่ บริเวณขอบแผลจะมีลักษณะเรียบแข็ง ผู้ป่วยจะไม่มีอาการเจ็บปวด จากนั้นเชื้อซิฟิลิสจะเข้าสู่ต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบ ทำให้ต่อมน้ำเหลืองโตผิดปกติ อย่างไรก็ตามระยะที่ 1 เป็นระยะซิฟิลิสที่ยังไม่แสดงอาการ เมื่อระยะเวลาผ่านไปแผลดังกล่าวสามารถหายไปเองได้โดยไม่ต้องทำการรักษา จึงกลายเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยชะล่าใจ และ ติดเชื้อโดยไม่รู้ตัว นำไปสู่ความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อซิฟิลิสไปยังบุคคลได้
ซิฟิลิสระยะที่ 2 :
เป็นระยะหลังจากติดเชื้อซิฟิลิสระยะแรกประมาณ 2-3 สัปดาห์ เป็นระยะที่เชื้อกระจายไปสู่อวัยวะต่างๆ ของร่างกาย และตามต่อมน้ำเหลืองต่างๆ เช่น หลังขาหนีบ หลังหู รวมถึงเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้ร่างกายของผู้ป่วยมีผื่นขึ้น ซึ่งแพทย์เรียกระยะซิฟิลิสนี้ว่า “ระยะออกดอก” เนื่องจากผื่นที่พบมีความแตกต่างจากโรคชนิดอื่นๆ โดยผื่นจะมีลักษณะเป็นตุ่มนูน ขึ้นที่บริเวณฝ่ามือ แต่ไม่มีอาการคัน บางรายอาจมีเนื้อตายที่เกิดจากผื่นกระจายเป็นหย่อมๆ ในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ผมร่วง ปวดเมื่อยตามข้อ เจ็บคอ มีไข้ เป็นต้น อย่างไรก็ตามซิฟิลิสระยะนี้หากไม่ได้รับการรักษาโรคจะอยู่ใน “ระยะสงบ” ซึ่งร่างกายของผู้ป่วยยังคงมีเชื้อซิฟิลิสแฝงอยู่โดยไม่แสดงอาการให้เห็นอย่างชัดเจนเป็นเวลานานหลายปี
ซิฟิลิสระยะที่ 3 :
เป็นซิฟิลิสระยะสุดท้าย หรือ ระยะแฝง เกิดขึ้นหลังจากระยะที่ 1 ประมาณ 3-10 ปี โดยร่างกายจะแสดงอาการของโรคให้เห็นอย่างชัดเจน ซึ่งเกิดจากการลุกลามของเชื้อเข้าสู่ระบบต่างๆ ของร่างกาย ทำให้มีอาการต่างๆ เช่น หูหนวก ตาบอด เนื้อจมูกเป็นรอยโหว่ กระดูกผุ ใบหน้าผิดรูป อาการสมองเสื่อม ลิ้นหัวใจรั่ว อัมพาต ฯลฯ ทั้งนี้อาการของโรคจะขึ้นอยู่กับการติดเชื้อในระบบต่างๆ ที่อาจแตกต่างกันออกไป
อาการของโรคซิฟิลิสในหญิงตั้งครรภ์
โรคซิฟิลิสสามารถติดต่อจากมารดาสู่ทารกในครรภ์ได้ ในกรณีที่มารดาป่วยด้วยโรคซิฟิลิสและไม่เข้ารับการรักษา เชื้ออาจถ่ายทอดสู่ทารกผ่านสายรก ส่งผลให้ทารกในครรภ์มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อซิฟิลิสโดยกำเนิด (Hydrops fetalis หรือ Congenital syphilis) ทำให้ทารกเสี่ยงต่อการเสียชีวิตในครรภ์ เสียชีวิตหลังคลอด หรือ มีความพิการ ได้นั่นเอง
การตรวจวินิจฉัยโรคซิฟิลิส
การตรวจวินิจฉัยโรคซิฟิลิสในปัจจุบันสามารถทำได้โดยการเจาะเลือด เพื่อตรวจหาภูมิคุ้มกันแบคทีเรียซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรค เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงและทราบผลได้ภายในเวลาประมาณ 15-30 นาทีเท่านั้น เป็นวิธีที่เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีอาการของโรคให้เห็นอย่างชัดเจน ในกรณีที่ผู้ตรวจมีรอยแผลแพทย์อาจเลือกใช้วิธีการเก็บตัวอย่างจากแผลเพื่อทดสอบหาเชื้อซิฟิลิสได้เช่นเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีวิธีการตรวจด้วยการเจาะตรวจน้ำไขสันหลัง (Cerebrospinal Fluid Test) ในกรณีที่แพทย์ประเมินว่าผู้ป่วยอาจมีการติดเชื้อในระบบประสาท
แนวทางการรักษาโรคซิฟิลิส
หากสังเกตอาการเบื้องต้นแล้วพบว่าตนเองมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อซิฟิลิส ควรเข้ารับการตรวจรักษาโรคซิฟิลิสโดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพบแผลบริเวณอวัยวะเพศหลังจากมีเพศสัมพันธ์ ควรรีบปรึกษาแพทย์ เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุของแผลที่เกิดขึ้น หากตรวจพบว่ามีการติดเชื้อซิฟิลิสแม้จะไม่แสดงอาการอย่างชัดเจน หรือ มีอาการก็ตาม แพทย์จะจัดกลุ่มการรักษาตามระยะของผู้ป่วยรายนั้นๆ ให้เหมาะสมกับอาการของโรคต่อไป ทั้งนี้ผู้ป่วยจะต้องปฏิบัติตามที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด รวมถึงเข้าพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอเพื่อประสิทธิภาพในการรักษา และป้องกันการลุกลามสู่ซิฟิลิสระยะที่ 3 ซึ่งเป็นระยะที่รุนแรงมากที่สุด
วิธีการป้องกันโรคซิฟิลิส
- สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อซิฟิลิสและลดความเสี่ยงต่อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ
- หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่เป็นโรคซิฟิลิส
- หากพบอาการผิดปกติบริเวณอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือ ช่องคลอด เช่น มีผื่น แผล ควรรีบปรึกษาแพทย์โดยทันที
- รักษาความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศและจุดซ่อนเร้นอย่างเป็นนิสัย
- คู่รักที่วางแผนการแต่งงานและมีบุตร ควรตรวจร่างกายโดยละเอียดเพื่อตรวจหาโรคซิฟิลิส รวมถึงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ร่วมด้วย
โรคซิฟิลิสสามารถรักษาให้หายขาดได้หากได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อย่างไรก็ตามหากพบว่าตนเองหรือคู่รักมีสัญญาณของโรคซิฟิลิส หรือ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษาอย่างเหมาะสม ไม่ควรละเลยให้อาการลุกลามหนักก่อนจึงจะตัดสินใจเข้าพบแพทย์ เพื่อป้องกันอาการแทรกซ้อนอื่นๆ และป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำอีกครั้งได้ สิ่งสำคัญคือควรตระหนักถึงการสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ รวมถึงควรศึกษาเกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงต่อการติดเชื้อให้ได้มากที่สุด
สำหรับผู้ที่ต้องการปรึกษาเกี่ยวกับโรคซิฟิลิส หรือ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ สามารถติดต่อสอบถามแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ที่ ฮักษาคลินิก
เบอร์โทร : 096-696-1999
LINE: @hugsa
Facebook : HUGSAMedical
HUGSA MEDICAL | รักษาด้วยหัวใจ ห่วงใยดุจญาติมิตร ใกล้ชิดแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ