เมื่อกล่าวถึง โรคเริม หลายคนคงคุ้นเคยชื่อกันเป็นอย่างดี เพราะนอกจากจะเป็นโรคที่เกิดขึ้นจนทำให้ใครหลายต่อหลายคนรู้สึกอาย ยังเป็นโรคเกี่ยวกับผิวหนังที่ขึ้นชื่อว่าทำให้ผู้ป่วยส่วนมากไม่กล้าไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษา และไม่กล้าแม้แต่จะบอกใครให้รู้ถึงอาการที่เป็นอยู่ แน่นอนว่าหลายคนอาจรู้จักเริมในส่วนที่แสดงอาการให้เห็นแค่บริเวณริมฝีปาก แต่ทราบหรือไม่ว่าเริมนั้นยังมีอาการบริเวณที่อวัยวะเพศได้เช่นกัน ที่สำคัญคือแผลบริเวณอวัยวะเพศนั้นมีอาการมากกว่าอีกด้วย ดังนั้นโรคเริมจึงเป็นโรคติดต่อที่เราทุกคนควรรู้ให้เท่าทัน เพื่อป้องกันการติดเชื้อและการกลับมาเป็นซ้ำอีกครั้ง
โรคเริมคืออะไร?
เริม คือ โรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า Herpes simplex virus : HSV เป็นโรคที่สามารถติดต่อจากบุคคลหนึ่งสู่อีกบุคคลหนึ่งได้ด้วยการสัมผัสสารคัดหลั่งบริเวณแผล หรือ รอยโรค โดยสามารถแบ่งเชื้อไวรัสได้ 2 ชนิด คือ Herpes simplex type 1 หรือ HSV-1 เป็นไวรัสที่ทำให้ผู้ติดเชื้อเกิดรอยโรคบริเวณริมฝีปาก และ Herpes simplex type 2 หรือ HSV-2 เป็นไวรัสที่ทำให้ผู้ติดเชื้อเกิดรอยโรคบริเวณอวัยวะเพศ อย่างไรก็ตาม HSV 1 สามารถทำให้เกิดรอยโรคเริมได้บริเวณอวัยวะเพศได้เช่นกัน หากมีการร่วมรักโดยการใช้ปากที่มีแผลเริมอยู่แล้ว
ทั้งนี้จากสถิติพบว่าในประชากรกว่าร้อยละ 80 อาจไม่รู้ตัวว่าตนเองเคยได้รับเชื้อไวรัสเริมเข้าสู่ร่างกาย แต่ไม่แสดงอาการให้เห็น จึงทำให้โรคเริมคล้ายว่าเป็นโรคแอบแฝงในตัวและไม่รู้ตัวว่าได้แพร่เชื้อไปสู่คู่นอนหรือไม่ ในทางการแพทย์ระบุว่าโรคเริมไม่ใช่โรคติดต่อที่แพร่ได้ง่าย แต่การรู้ให้เท่าทัน เข้าใจถึงสาเหตุ วิธีการรักษา และการป้องกันอย่างถูกต้อง ย่อมช่วยลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ดีกว่า เนื่องจากเริมเป็นโรคที่หากเป็นแล้วอาจรักษาให้หายขาดได้ยากนั่นเอง
โรคเริมมีกี่ชนิด?
ทางการแพทย์ได้แบ่งโรคเริมออกเป็น 2 ประเภท โดยแบ่งตามลักษณะของการติดเชื้อที่แสดงรอยโรคให้เห็นได้ ดังนี้
Herpes simplex virus type 1 : HSV-1
เชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคเริมที่แสดงอาการบริเวณริมฝีปาก ผู้ที่ติดเชื้อชนิดนี้จะมีแผล หรือ ตุ่มน้ำพอง ตุ่มน้ำใส ผื่นบวมแดง ที่เกิดขึ้นบริเวณปาก ใบหน้า โพรงจมูก หรือ บริเวณส่วนใดส่วนหนึ่งของผิวหนังเหนือสะดือ โดยการติดเชื้อไวรัส HSV-1 จากการสัมผัสสารคัดหลั่ง หรือ น้ำลายของผู้ที่มีเชื้อ
Herpes simplex virus type 2 : HSV-2
ชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคเริมที่แสดงอาการบริเวณอวัยวะเพศ โดยการติดเชื้อไวรัส HSV-2 มีโอกาสติดเชื้อได้สูงจากการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีเชื้อเริม ทำให้มีอาการระคายเคือง คันรอยแผล มีแผลพุพอง และมีอาการปวดบริเวณอวัยวะเพศ
อย่างไรก็ตามโรคเริมทั้ง 2 ชนิดที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น สามารถเกิดได้ทุกส่วนของร่างกาย ไม่จำกัดว่าเริมชนิดไหนต้องแสดงอาการที่อวัยวะเพศหรือปากเท่านั้น จากการแบ่งเป็นเพียงข้อมูลโดยส่วนใหญ่ของผู้ป่วยโรคเริมที่ได้รวบรวมไว้เท่านั้น ทั้งนี้การส่งต่อเชื้อไวรัสทั้ง 2 ชนิด สามารถแพร่สลับตำแหน่งได้ หากมีการร่วมรักทางปาก หรือ อวัยวะเพศ ก็สามารถส่งต่อเชื้อไปสู่อีกบุคคลได้เช่นเดียวกัน
การติดเชื้อโรคเริม
โรคเริม เป็นโรคทางผิวหนังที่สามารถติดต่อกันได้ทั้งจากการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ที่มีเชื้อ เช่น น้ำลาย เยื่อบุตา รอยแผล ผื่นที่ผิวหนัง แผลตุ่มน้ำ และการมีเพศสัมพันธ์ ตลอดจนการดื่มน้ำจากแก้วเดียวกันไปจนถึงการจูบ นอกจากนี้เชื้อไวรัสเริมสามารถแพร่เชื้อสู่ลูกในครรภ์ได้ โดยการติดต่อจากมารดา ซึ่งพบโอกาสที่น้อยกว่าเมื่อเทียบกับการติดเชื้อเริมในขณะคลอด
อาการของโรคเริมเป็นอย่างไร?
อาการของโรคเริมจะเริ่มต้นจากระยะฟักตัวหลังจากได้รับเชื้อเริมเข้าสู่ร่างกายประมาณ 4-5 วัน ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่เคยได้รับเชื้อชนิดนี้มาก่อน จะมีอาการเริ่มต้นจากการปวดเมื่อยตามตัว ครั่นเนื้อครั่นตัว อ่อนเพลีย หลังจากนั้นจะเข้าสู่ระยะการเกิดรอยโรคที่อวัยวะเพศ หรือ ปาก จะมีตุ่มน้ำใส เมื่อตุ่มใสแตกตัวจะมีน้ำสีเหลืองข้นคล้ายหนองและมีอาการปวดแสบบริเวณแผล มีอาการปวดขณะปัสสาวะ ซึ่งมีระยะเวลาของอาการดังกล่าวประมาณ 4-6 สัปดาห์ และแผลหายไปเอง ทั้งนี้ผู้ป่วยสามารถกลับมาเป็นเริมซ้ำได้หากมีการกระตุ้นเชื้อภายในร่างกายจากปัจจัยต่างๆ เช่น
- ความเครียด
- การพักผ่อนไม่เพียงพอ
- มีการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน (ผู้หญิง)
- การติดเชื้อไวรัส หรือ มีไข้
- ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน เช่น ยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์
- รอยแผล รอยถลอก
- การกระทบกระเทือนต่อเส้นประสาทหลังจากผ่าตัด
- การถูกแสงแดด หรือ ลม
อาการโรคเริมบริเวณริมฝีปาก
เริมที่เกิดขึ้นบริเวณริมฝีปากส่วนใหญ่จะมีอาการน้อยกว่าเริมบริเวณอวัยวะเพศ อาการที่เห็นได้ชัดคือเกิดแผลตุ่มน้ำพองบริเวณริมฝีปาก หรือ รอบๆปาก โดยทั่วไปที่คุ้นเคยกันดีมักจะเกิดบริเวณมุมปากทั้ง 2 ข้างหรือข้างเดียวแตกต่างกันไป ผู้ป่วยบางรายอาจมีแผลเริมภายในปากได้เช่นกัน ซึ่งแผลเริมจะหายได้เองภายในเวลาไม่นานขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยแต่ละคน ที่สำคัญคือมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้เร็วที่สุดเพียงไม่กี่สัปดาห์
อาการโรคเริมบริเวณอวัยวะเพศ
อาการที่มักพบได้บ่อย คือ มีตุ่มน้ำใส มีอาการคัน เจ็บปวด แสบบริเวณอวัยวะเพศทั้งชาย และหญิง ช่องคลอด ปากมดลูก ก้น ทวารหนัก ต้นขาด้านใน รวมถึงมีอาการปัสสาวะแสบขัด เนื่องจากแผลที่บวมไปขัดขวางท่อปัสสาวะ หากคุณติดเชื้อเริม HSV-2 ที่อวัยวะเพศ ก็จะมีอาการคล้ายกับไข้หวัดใหญ่ ได้แก่
- ต่อมน้ำเหลืองโตที่บริเวณเชิงกราน ขาหนีบ คอ ใต้รักแร้
- มีไข้
- หนาวสั่น
- ปวดศีรษะ
- รู้สึกปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย
แนวทางการรักษาโรคเริม
ปัจจุบันพัฒนาการด้านการแพทย์ยังไม่สามารถคิดค้นยารักษาโรคเริมให้หายขาดได้ จึงทำได้เพียงรักษาเพื่อบรรเทาและลดการแพร่เชื้อของจากแผลพุพองให้มีอาการที่ดีขึ้น โดยแพทย์จะพิจารณาทำการรักษาด้วยการใช้ยาต้านไวรัส ยาแก้ปวด ควบคู่ไปกับการให้คำแนะนำในการดูแลตนเองอย่างเหมาะสม
การรักษาโรคเริมด้วยยา
การรักษาโรคเริมด้วยการใช้ยาต้านไวรัสเป็นการยับยั้งและฆ่าเชื้อไวรัสในร่างกาย ซึ่งมีทั้งยาชนิดรับประทาน ยาชนิดครีมใช้ทา ตัวอย่างยาที่นิยมใช้ในการรักษา Valtrex (valacyclovir) , Abreva (docosanol) , Zovirax (acyclovir) , Famvir (famciclovir) รวมไปถึงยาที่ออกฤทธิ์บรรเทาอาการปวดบริเวณแผลโรคเริม เป็นยาแก้ปวดชนิดรับประทาน เช่น Aspirin , Advil หรือ Motrin (ibuprofen) , Tylenol (acetaminophen) นอกจากนั้นยังมียาแก้ปวดชนิดเจล หรือ เนื้อขี้ผึ้ง ที่ใช้ทาบรรเทาอาการปวด เช่น Benzoyl alcohol , Benzocaine , Dibucaine เป็นต้น
การรักษาโรคเริมด้วยการดูแลตนเอง
การดูแลรักษาโรคเริมด้วยตนเองเป็นแนวทางเบื้องต้นควบคู่ไปกับการใช้ยา ที่จะช่วยให้แผลหายได้เร็วมากยิ่งขึ้น โดยสามารถปฏิบัติได้ดังนี้
- ทำความสะอาดแผลเริมให้แห้งอยู่เสมอ ไม่ปล่อยให้อับชื้น
- สวมใส่เสื้อผ้าที่ไม่รัดแผลให้แผลระคายเคือง
- หลีกเลี่ยงการแกะ เกา จับ บริเวณแผลเริม
- ใช้น้ำเกลือสำหรับล้างแผล หรือ น้ำต้มสุก ในการทำความสะอาดแผล
- หากมีอาการปวดมากสามารถประคบเย็นด้วยถุงเจลประคบเย็น
- ทาสารช่วยป้องกันผิวหนังแห้ง เพื่อให้ความชุ่มชื้นบริเวณรอบแผล
- ควรพักผ่อนให้เพียงพอ และ ดื่มน้ำมากๆ
การป้องกันการกลับมาเป็นโรคเริมซ้ำอีกครั้ง
การกลับมาเป็นโรคเริมซ้ำของแต่ละบุคคลนั้นไม่สามารถระบุปัจจัยกระตุ้นได้ชัดเจน ซึ่งอาจมีความแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับตัวบุคคล ดังนั้นเบื้องต้นควรหมั่นสังเกตตนเองอยู่เสมอว่ามีสิ่งกระตุ้นใดที่ทำให้เกิดโรคเริมซ้ำได้ ควบคู่ไปกับการป้องกันตนเองเบื้องต้นอย่างถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็น การมีเพศสัมพันธ์ด้วยการสวมถุงยางอนามัยทุกครั้ง หลีกเลี่ยงการสัมผัสแผลตุ่มน้ำของผู้อื่น และการดูแลความสะอาดของอวัยวะเพศอย่างเป็นนิสัย ตลอดจนการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ พักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงจากความเครียดต่างๆ สิ่งเหล่านี้จะช่วยป้องกันคุณให้ห่างไกลจากการกลับมาเป็นโรคเริมซ้ำอีกครั้งได้ไม่ยาก
สำหรับผู้ที่ต้องการปรึกษา ต้องการคำแนะนำ หรือ ต้องการตรวจรักษาโรคเริม สามารถติดต่อสอบถามแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ ฮักษาคลินิก
เบอร์โทร : 096-696-1999
LINE: @hugsa
Facebook : HUGSAMedical
HUGSA MEDICAL | รักษาด้วยหัวใจ ห่วงใยดุจญาติมิตร ใกล้ชิดแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ