โรคนอนไม่หลับ แก้ยังไง? ฮักษาคลินิก เชียงใหม่ มีคำตอบ
การนอนหลับเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตไม่แพ้เรื่องสุขภาพอื่นๆ ซึ่งโดยปกติแล้วการนอนจะเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายส่วนต่างๆ ได้พักผ่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบหัวใจ ระบบหลอดเลือดภายในร่างกาย ที่ทำงานลดลงเนื่องจากการนอนหลับเป็นภาวะที่ร่างกายไม่ได้ออกแรง ที่ทำให้ต้องสูบฉีดโลหิตมาก อีกทั้งการนอนหลับยังเป็นช่วงที่สารเคมีต่างๆ ในร่างกายได้ทำงานเพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ รวมไปถึงการนอนหลับอย่างเหมาะสมจะทำให้การทำงานของสมองมีประสิทธิภาพด้วยเช่นกัน ดังนั้นโรคนอนไม่หลับจึงส่งผลต่างสุขภาพร่างกายอย่างปฏิเสธไม่ได้
โรคนอนไม่หลับ คืออะไร?
โรคนอนไม่หลับ หรือ Insomnia คือ โรคที่เกิดจากความผิดปกติในการนอนหลับที่ผู้ป่วยจะมีปัญหาเกี่ยวกับการนอนหลับยาก มีภาวะหลับๆ ตื่นๆ หรือ นอนหลับไม่สนิท โดยมักพบได้ในวันผู้ใหญ่และวัยสูงอายุ ซึ่งหากปล่อยปละละเลยไม่ทำการรักษาจนกลายเป็นภาวะเรื้อรังอาจส่งผลเสียต่อความจำ อารมณ์ สุขภาพด้านอื่นๆ ตามมาได้ อย่างไรก็ตามการนอนหลับปกติแล้วในแต่ละวันควรนอนเฉลี่ย 7-9 ชั่วโมง ดังนั้นอาการนอนไม่หลับที่เกิดจากหลายสาเหตุจะส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
โรคนอนไม่หลับแบ่งออกได้ 4 ประเภท
โรคนอนไม่หลับอาจเกิดขึ้นได้ในระยะสั้น หรือ เกิดขึ้นได้ในรายวัน สัปดาห์ หรือ ระยะเวลานานเป็นเดือน ซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ของแต่ละบุคคล โดยหลักๆ สามารถแบ่งออกได้ดังนี้คือ
- หลับยาก หรือ Initial Insomnia
- หลับแล้วตื่น และหลังจากนั้นร่างกายไม่สามารถหลับได้อีก หรือ Maintenance Insomnia
- ตื่นเร็วและไม่สามารถหลับต่อได้ หรือ Terminal insomnia
- หลับยากหลายแบบรวมกัน
รู้หรือไม่? “ 3 ใน 4 ประชากรไทย หรือราว 19 ล้านคน กำลังเผชิญกับภาวะนอนไม่หลับโดยที่ ราวๆ ร้อยละ 30 หรือ กว่า 5,700,000 คน นอนหลับยาก ซึ่งกว่าร้อยละ 70 หรือ เกือบ 4,000,000 คน อยู่ในวัยทำงาน (กรมสุขภาพจิต) ”
โรคนอนไม่หลับส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างไร?
โรคนอนไม่หลับส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายและสมองทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง เสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ ได้ง่ายขึ้น อีกทั้งหากมีภาวะนอนไม่หลับเรื้อรังยังส่งผลต่อสุขภาพจิตของผู้ป่วยในอนาคตได้อีกด้วย เช่น
- ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง
- ประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกันลดลง
- เสี่ยงต่อการเกิดโรคภูมิแพ้ หอบหืด ได้ง่าย
- เสี่ยงต่อการเกิดภาวะความดันโลหิตสูง และ ภาวะเกี่ยวกับระบบหลอดเลือดหัวใจ
- ระบบเผาผลาญพลังงานร่างกายที่ผิดปกติ
- ร่างกายมีภาวะอ่อนเพลียส่งผลต่อการเจริญเติบโต
- อาจมีอาการป่วย เช่น ปวดศีรษะ คลื่นไส้ ท้องผูก ท้องเสีย
- ส่งผลต่ออารมณ์และจิตใจ เช่น ความเครียด กังวล ซึมเศร้า อารมณ์แปรปรวน และมีอาการเฉื่อยชา
การนอนหลับให้เพียงพอควรเป็นอย่างไร?
ร่างกายของคนเราต้องการนอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอและเหมาะสมกับช่วงวัย เพื่อให้ร่างกายมีสุขภาพที่ดีทั้งในด้านการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ การฟื้นฟูร่างกาย และช่วยให้ระบบต่างๆ ในร่างกายสามารถทำงานได้อย่างปกติ ซึ่งส่งผลต่อการเจริญเติบโตตามวัยตลอดจนความสามารถในการเรียนรู้และการจดจำร่วมด้วย ดังนั้นการนอนหลับให้เพียงพอจึงมีความสำคัญต่อร่างกาย โดยแต่ละช่วงวัยควรนอนให้เพียงพอเป็นเวลาดังนี้
- เด็กทารก 4 เดือน ถึง 12 เดือน ควรนอนหลับ 12 ถึง 16 ชั่วโมงต่อวัน (รวมนอนกลางวัน)
- เด็ก 1 ถึง 2 ปี ควรนอนหลับ 11ถึง 14 ชั่วโมงต่อวัน (รวมนอนกลางวัน)
- เด็ก 3 ถึง 5 ปี ควรนอนหลับ 10 ถึง 13 ชั่วโมงต่อวัน (รวมนอนกลางวัน)
- เด็ก 6 ถึง 12 ปี ควรนอนหลับ 9 ถึง 12 ชั่วโมงต่อวัน
- วัยรุ่น 13 ถึง 18 ปี ควรนอนหลับ 8 ถึง 10 ชั่วโมงต่อวัน
- วัยผู้ใหญ่ขึ้นไป ควรนอนหลับ 7 ถึง 9 ชั่วโมงต่อวัน
การนอนหลับอย่างมีคุณภาพนั้นจะต้องหลับลึกและต่อเนื่อง โดยในเชิงการแพทย์การนอนหลับลึกช่วยให้คลื่นสมองไม่ได้รับการปลุก หรือ ถูกปลุกน้อยที่สุดในระหว่างการนอนหลับ ด้วยการลดปัจจัยที่ส่งผลต่อการตื่นให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยภายนอกหรือภายในร่างกาย
สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคนอนไม่หลับมีอะไรบ้าง?
- ภาวะความเครียด แรงกดดัน วิตกกังวล หรือมีอาการสิ้นหวัง หมดกำลังใจในการใช้ชีวิต มีอาการซึมเศร้า ท้อแท้
- อาการเจ็บป่วย เช่น ปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ มีอาการไอ ปวดท้อง ปวดหัว ปวดเมื่อยตามตัว
- ท้องว่าง หรือ อิ่มมากเกินไป ทำให้มีอาการหิวในช่วงดึกหรือแน่นท้องจนทำให้นอนไม่หลับตามปกติ
- ทำอาชีพที่ต้องเปลี่ยนเวลาในการทำงานอยู่ตลอด ทำงานเป็นกะที่เวลาไม่เหมือนเดิม
- ปัญหาทางสิ่งแวดล้อมโดยรอบ เช่น เสียงดังรบกวนขณะนอนหลับ ความสว่างของแสงที่มากเกินไป หรือ มลภาวะทางอากาศ
- ดื่มแอลกอฮอล์ กาแฟ สูบบุหรี่ หรือมีการใช้ยาบางชนิด
- มีนอนละเมอ ฝันร้าย หรือ นอนไม่หลับจนเป็นนิสัย
อาการนอนไม่หลับแบบไหนที่ควรพบแพทย์?
เมื่อสังเกตว่าตนเองมีอาการนอนไม่หลับติดต่อกันต่อเนื่อง และเริ่มส่งผลต่อร่างกายในด้านต่างๆ มากขึ้นกว่าปกติ ไม่ควรปล่อยไว้นานเพราะอาจส่งผลต่อเสียต่อร่างกายในระยะยาวได้ โดยหากพบว่าคุณมีอาการดังต่อไปนี้ควรรีบพบแพทย์ทันที
- นอนหลับยาก หรือ ใช้เวลากว่าจะนอนหลับมากกว่า 20 นาที
- มักตื่นกลางดึกทุกๆ 2-3 ชั่วโมง และไม่สามารถหลับต่อได้ทันที
- นอนหลับได้ไม่นาน มักนอนได้แค่ 2-3 ชั่วโมง แล้วก็ตื่นขึ้นมา
- นอนไม่หลับเป็นระยะเวลามากกว่า 3 วันต่อสัปดาห์ ติดต่อกันนานกว่า 3 เดือน
- อาการนอนไม่หลับส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน
วิธีการตรวจวินิจฉัยโรคนอนไม่หลับ
การตรวจวินิจฉัยโรคนอนไม่หลับแพทย์จะทำการตรวจร่างกายและซักประวัติโดยละเอียด โดยเป็นคำถามเกี่ยวกับปัญหาการนอนรวมไปถึงอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้น ควบคู่ไปกับสอบถามโรคประจำตัว ยาที่ใช้ประจำซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการนอนหลับ หากพบว่ามีอาการนอนไม่หลับเรื้อรังนานกว่า 3 เดือนขึ้นไป หรือ แพทย์พบว่าอาจมีความผิดปกติเกี่ยวกับการนอนหลับอื่นๆ เช่น ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ จะมีการตรวจคุณภาพการนอน หรือ Sleep Test เพิ่มเติมเพื่อประกอบการวินิจฉัยร่วมด้วย
แนวทางการรักษาโรคนอนไม่หลับ
การรักษาโรคนอนไม่หลับหากพบว่ามีอาการในระยะสั้นอาจหายได้เองด้วยการสร้างสิ่งแวดล้อมใหม่ หรือ การปรับพฤติกรรมต่างๆ แต่ในภาวะนอนไม่หลับเรื้อรังสามารถทำได้ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้
- การบำบัดโรคนอนไม่หลับโดยการปรับพฤติกรรมและปรับเปลี่ยนความคิด Cognitive Behavioral Therapy for insomnia หรือ CBT-I เป็นการบำบัดเพื่อรักษาโรคนอนไม่หลับเรื้อรังด้วยการพูดคุยเปลี่ยนวิธีคิดและพฤติกรรม และให้ความรู้ด้านการนอนหลับอย่างมีคุณภาพให้กับผู้ป่วย ที่ช่วยให้มีความผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น สามารถควบคุมสิ่งเร้าต่างๆ รอบด้านให้นอนหลับได้ดียิ่งขึ้น โดยการบำบัดอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ขึ้นไป
- การบำบัดโรคนอนไม่หลับโดยการใช้ยาแพทย์จะเลือกใช้บางกรณีเท่านั้น โดยอาจใช้ยาในระยะสั้นเพื่อช่วยในการนอนหลับร่วมด้วย ถือว่าเป็นแนวทางการรักษาที่เฉพาะผู้ป่วยบางรายเท่านั้น ทั้งนี้แพทย์จะใช้ยาน้อยที่สุดและขนาดของยาต่ำที่สุดและไม่ให้ใช้ยาติดต่อกันเป็นระยะเวลานานเกินไป เพื่อลดโอกาสในการเกิดผลข้างเคียงที่เสี่ยงต่อภาวะอื่นๆ ในอนาคต
แนวทางการป้องกันโรคนอนไม่หลับ
โรคนอนไม่หลับสามารถหลีกเลี่ยงและป้องกันได้จากการเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เพื่อให้นอนหลับได้อย่างมีคุณภาพและส่งผลดีต่อร่างกายมากที่สุด โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมดังต่อไปนี้
- เข้านอนเป็นเวลา ไม่งีบหลับระหว่างวัน หรือ นอนเมื่อง่วงนอน
- จัดห้องนอนให้มีบรรยากาศเหมาะสมก่อนการนอนหลับ มีความมืด เงียบสงบ อุณหภูมิเหมาะสม
- งดรับประทานอาหารมื้อหนักก่อนเข้านอน
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักก่อนเวลานอน
- หลีกเลี่ยงความวิตกกังวล เรื่องเครียด หรือกิจกรรมที่ทำให้รู้สึกตื่นตัว เช่น เล่นโทรศัพท์มือถือ เล่นเกม
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ หรือ กาแฟ ในช่วงก่อนเข้านอน
- ลดการสูบบุหรี่ เพราะนิโคตินจะส่งผลทำให้นอนหลับยากขึ้น
หากปรับเปลี่ยนพฤติกรรมข้างต้นแล้วยังมีอาการนอนไม่หลับเช่นเคย หรือ อาการยังไม่ดีขึ้นเท่าที่ควร แนะนำว่าควรเข้าพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุของโรคนอนไม่หลับและทำการรักษาได้อย่างถูกต้อง สำหรับผู้ที่ต้องการปรึกษา หรือ รักษาโรคนอนไม่หลับในจังหวัดเชียงใหม่ สามารถติดต่อสอบถามแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ ฮักษาคลินิก
เบอร์โทร : 096-696-1999
LINE : @hugsa
Facebook : HUGSAMedical
HUGSA MEDICAL | รักษาด้วยหัวใจ ห่วงใยดุจญาติมิตร ใกล้ชิดแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ